ชีวิตของ ราอูล ฆิเมเนซ ในเส้นทางพรีเมียร์ลีก

สิ่งที่แปลกประหลาดเมื่อพูดถึงอาชีพค้าแข้งของ ราอูล ฆิเมเนซ ก็คือว่า แม้ตัวของเขาจะได้ย้ายมาเข้าร่วมกับสโมสร วูล์ฟแฮมตัน เขาก็มีข่าวเพียงเล็กน้อยจากสื่อเจ้าเล็กๆ เท่านั้นที่ทำข่าวในปี 2018 แถมการเซ็นสัญญาของเขาก็ยังเป็นการเซ็นสัญญาแบบยืมตัวด้วยวงเงินแสนต่ำอีกต่างหาก ที่สำคัญคือเมื่อเทียบกับการมาถึงทีมของนักเตะที่มีชื่อเสียงและสั่งสมบารมีในระดับโลกมาเป็นเวลานานเช่นพวก เจา มูตินโญ จอมทัพทีมชาติโปรตุเกส และตัวของ รุย พาทริซิโอ มันยิ่งเทียบกันไม่ได้เลย และที่สำคัญ ราอูล ก็ไม่ใช่เด็กดาวรุ่งที่ไหนแล้ว เพราะกองหน้าชาวเม็กซิกันรายนี้ในปัจจุบันก็อายุ 28 ปีแล้ว แถมเขากำลังจะอายุครบ 29 ปีในเดือนพฤษภาคมนี้ด้วย การจะพัฒนาฝีเท้าไปถึงจุดสูงสุดของเขาได้นั้นในวัยระดับย่างเข้า 30 มันเป็นเรื่องที่ยากมาก

แต่ถึงกระนั้น เขาคือกองหน้าที่มีสถิติติดทีมชาติเม็กซิโกถึง 81 นัด มันก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่าเขาไม่ธรรมดา แม้ช่วงเวลาปัจจุบันจะไม่ค่อยมีข่าวฟุตบอลของนักเตะรายนี้โหมกระหน่ำแบบเมื่อก่อนก็ตาม ดังนั้นแล้ว สิ่งที่แฟนบอลวูล์ฟแฮมตันในเวลานั้นต่างพากันคิดก็คือว่า พวกเขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้เล่นรายนี้ จะสามารถสร้างผลงานที่ดีได้ แถมกองหน้ารายนี้ เพิ่งจะได้ลงเล่นในเกมลีกระดับลีกยุโรปเพียง 24 เกมเท่านั้นกับทีม เบนฟิก้า และนั่นคือสถิติเพียง 24 นัดของเขาก่อนวันเกิดครบ 27 ปีของเขาด้วยอีก ใครจะกล้าวางใจกองหน้าแบบนี้กันล่ะ? ท้ายที่สุดแล้วนั้น เขาก็พิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็น ว่าเขาเจ๋งแค่ไหน และมันก็เป็นเวลาที่ผ่านมาเกือบแปดปีแล้วตั้งแต่วันแรกที่เขาสามารถทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำบนเกาะอังกฤษ เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเม็กซิโก U23 ชุดคว้าเหรียญทองโอลิมปิกที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ แถมเขายังโค่นทีมชาติบราซิล U23 ที่มี เนย์มาร์ เป็นตัวชูโรงลงได้ที่สนาม เวมบลีย์ ในปี 2012 อีกด้วย

“การคว้าเหรียญทองเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับผมมากครับ และมันยังเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับประชาชนทั้งประเทศเม็กซิโก มันพิเศษสำหรับผมเสมอ เพราะเมื่อผมกลับไปยังกรุงลอนดอน จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมจะจำวันที่ผมได้เหรียญทองตอนโอลิมปิกได้เสมอ”

มันเป็นเวลาเจ็ดปีแล้ว นับตั้งแต่เขาทำประตูได้ในสนามกีฬา อัซเทก้า และยังเป็นครั้งแรกในมีนักเตะชาวเม็กซิโกยิงประตูได้ที่สนามแห่งนั้นด้วยจังหวะการยิงประตูด้วยลูกยิง “โอเวอร์เฮดคิ๊ก” ในเกมที่ทีมชาติเม็กซิโกเจอกับปานามา และมันเป็นเวลาถึงหกปีแล้ว นับตั้งแต่เขาเริ่มต้นการผจญภัยในลีกยุโรป เขาเริ่มต้นการเล่นในลีกยุโรปเป็นครั้งแรกกับทีม แอตเลติโก มาดริด ในลาลีกามาก่อนเป็นการลองเชิงเมื่อปี 2014 เขามีความทะเยอทะยานครั้งใหญ่ตั้งแต่นั้นมา …

“มันเป็นความฝันของทุกคน และในฐานะนักฟุตบอล ไม่ว่าใครก็อยากมาเล่นในยุโรปเสมอ พวกเราอยากที่จะได้ลงแข่งขันในลีกที่ดีที่สุดในโลก และลีกเหล่านั้นก็มีที่ตั้งอยู่ที่นี่ในยุโรป” เขาอธิบาย

“คุณต้องการที่จะแข่งขันกับผู้เล่นที่เก่งที่สุด และในปีนั้น มันเป็นปีที่ แอตเลติโก เล่นได้ท๊อปฟอร์มมาก พวกเขาได้ช่วยผมเอาไว้มากมาย ผมได้ทุกสิ่งทุกอย่างแบบที่ผมควรจะได้รับ มันเป็นเรื่องยากนะครับในเวลานั้น เพราะการมาเล่นในสเปนคือครั้งแรกที่ผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่ผมคิดว่าผมปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ที่นั่นได้อย่างรวดเร็ว ผมได้เรียนรู้ว่าผมจะต้องอดทนและทำงานหนักเข้าไว้ แม้ว่าจะไม่มีโอกาสลงเล่น ผมก็แค่ต้อง ทำงานหนักต่อไปเพื่อหาทางเล่นให้เข้าขากับพวกเขาให้ได้”

การเป็นนักเตะที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของ ดิเอโก้ คอสต้า เป็นเรื่องที่ทำตัวยากลำบากอยู่เสมอ ความจริงที่ว่า แอตเลติโก มาดริด ยังนำตัวของ มาริโอ มานด์ซูคิช และ อ็องตวน กรีซมันน์ มาค้าแข้งในช่วงฤดูร้อนเดียวกันกับเขาด้วยอีก มันทำให้การแข่งขันยิ่งรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย คู่กองหน้าที่ย้ายมาใหม่ เดินหน้ายิงประตูรวมกันมากถึง 20 ประตูในฤดูกาลนั้น ส่วนตัวของ ราอูล ได้แค่นั่งตบยุงบนม้านั่งสำรอง เขาไม่มีความเสียดายถึงช่วงเวลานั้น และเหมือนเขาจะชิน ขนาดตอนย้ายมาอยู่กับ เบนฟิก้า เขาเองก็เจอกับช่วงเวลาแบบนั้นเหมือนกัน

“ผมใช้เวลาสามฤดูกาลที่เบนฟิก้า ผมมองหาโอกาสที่จะได้ลงเล่นเสมอ บางครั้งผมก็ได้ลงเล่น และบางครั้งผมก็ก็ไม่ได้เล่น บางครั้งอาการบาดเจ็บก็ทำให้ผมพลาดโอกาสเช่นกัน นักเตะที่เล่นในตำแหน่งเดียวกันกับผมก็เล่นดีมาก มันยากจริงๆที่จะได้ลงเล่น” ฆิเมเนซกล่าว